วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

เพลง แหลงพ่อขุน เดช อิสระ อาร์สยาม

 
 
 แหลงพ่อขุน "เดช อิสระ อาร์สยาม"
 

 
 
 
     เนื้อเพลง: แหลงพ่อขุน
       ศิลปิน: เดช อิสระ อาร์สยาม
อัลบั้ม: Single
 
    แหลงพ่อขุน ซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดของ เดช อิสระ อาร์สยาม เพลงรักติดดิน แนวลูกทุ่งเพื่อชีวิตใต้ ที่ใช้บอกความรู้สึกรักสาวแบบหนุ่มใต้บ้านๆ ที่พูดจาห้วนๆ ไม่น่าฟัง
 แต่ขอบอกทุกคำที่พูดออกมาพูดออกมาจากใจจริง ไม่เสแสร้งแน่นอน
 
     เดช อิสระ อาร์สยาม (จิตฏิเดช ศรีอ่อน) หนุ่มพัทลุงผู้มีความฝัน และรักในเสียงดนตรี เคยลงทุนทำเพลงเอง ร้องเอง ขายเอง หารายได้ด้วยการเล่นดนตรีร้องเพลงตามผับจนล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย ล่าสุดมีโอกาสได้ทำงานเพลงที่เขารักกับ ค่ายเพลง อาร์สยาม ในเครือ บมจ.อาร์เอส ในซิงเกิ้ล
 แหลงพ่อขุน เพลงรักติดดิน แบบหนุ่มใต้บ้านๆ ที่พูดจาไม่หวานแต่จริงใจ
 
         เดช อิสระ อาร์สยาม วันนี้มาพร้อมกับซิงเกิ้ล และมิวสิควิดีโอเพลง แหลงพ่อขุน เพลงรักติดดินแนวเพื่อชีวิตสำเนียงใต้ ซึ่งคำว่า แหลงพ่อขุน คือสำนวนภาษาใต้ บอกถึงการพูดที่ใช้คำพูดในสมัยพ่อขุนรามคำแหง อาจเป็นคำพูดที่ไม่สุภาพแต่แสดงถึงความจริงใจ ส่วนมิวสิควิดีโอเพลงนี้ต้องการนำเสนอมุมมองความรักในแบบของหนุ่มใต้บ้านๆ ที่หลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เป็นคนพูดจาตรงๆ พูดไม่เพราะ พูดไม่หวาน ผู้หญิงเลยไม่ชอบ กลับไปชอบผู้ชายที่พูดจาหวานๆ ดูดี เอาใจเก่ง โรแมนติค ไม่รู้เลยว่าผู้ชายแบบนั้นไม่มีความจริงใจ แค่หวังหลอกเธอไปวันๆ ซึ่งต่างจากหนุ่มใต้บ้านๆ คนนี้ ถึงจะพูดจาห้วนๆ ใช้แต่ภาษาพ่อขุน แต่ทุกคำที่พูดออกไปล้วนออกมาจากใจ ไม่เสแสร้ง และรักเธอจริงๆ และสิ่งสำคัญของความรัก คือการกระทำไม่ใช่แค่คำพูด ดิฉันเองจึงขอฝากผลงานเพลง และมิวสิควิดีโอเพลง
แหลงพ่อขุน  ให้ทุกคนได้ฟังได้ชมกันดูนะค่ะ
 
 
            สุดท้ายนี้ ดิฉันเองอยากให้พวกเราทุกคนหันมาสนใจ คำพูดที่เป็นภาษาท้องถิ่นของเรากันบ้าง นั้นคือ ภาษาใต้ เพื่ออนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมของภาคใต้สืบต่อไป และ
ขอฝาก "เดช อิสระ อาร์สยาม" [น้าชาย] ของ ดิฉันเอง ไว้ในอ้อมกอดของทุกๆคนด้วยนะค่ะ
 
 
 
 
 
 

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ค้นหาข่าว

 
วิเคราะห์ข่าวเรื่องภัยร้ายบนอินเตอร์เน็ต

ข่าวภัยจากอินเทอร์เน็ต
 
 
ภัยร้ายบนอินเตอร์เน็ตทำเด็กซึมเศร้าอยู่ในโลกความฝัน

เปิดเผยผลการศึกษาผลกระทบของอินเทอร์เน็ตต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไทยชี้ชัด เด็กและเยาวชนใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการบันเทิงมากที่สุด ขณะที่ผลกระทบด้านสังคม ไม่ค่อยรู้เรื่องภายนอก หรือคุยกับคนรอบข้าง ซึมเศร้าอยู่แต่ในโลกความฝันของตัวเอง

วันนี้(14 พ.ค.)น.ส.ประพิมพ์พรรณ สุวรรณกูฏ นักพัฒนาสังคม สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ (สท.) กล่าวว่า จากการศึกษา เรื่อง ผลกระทบของอินเทอร์เน็ตต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไทย : กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร ร่วมกับ สำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยศึกษาพฤติกรรมการรับข้อมูลข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตของเด็กและเยาวชนทั้ง ด้านการศึกษา ด้านบันเทิง ด้านลบ และด้านธุระ/ซื้อขาย รวมถึงความสัมพันธ์ของผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต กับกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กและเยาวชนในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,584 คน



ปัญหาที่เกิด

การพูดคุยกันทางอินเทอร์เน็ต เป็นภัยที่พบง่ายและบ่อยที่สุด บางครั้งเราอาจกำลังสนทนาอยู่กับคนที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากเราอยู่ก็ได้ ถ้าเราเผลอให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือนัดเจอคนที่รู้จักกันทางเน็ต เราอาจตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้ได้ คนเหล่านี้เล่นแชท เพราะเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน , มีปมด้อย , อยากหาแฟน , เพ้อฝันว่าอาจจะได้เจอสิ่งดีๆ ในเนต ,โรคจิต , แสวงหาผลประโยชน์จากคนที่ไม่รู้ , หาความรู้โดยไม่อยากเสียเงิน หรือเล่นไปงั้นๆ แหละ เพื่อนบอกให้ลอง

ปัญหาต่อมา คือ ภัยจากการเล่นเกมส์ออนไลน์ เป็นเหมือนกับยาเสพติดดีๆ นี่เอง เพราะเมื่อเล่นแล้วทำให้ไม่อยากหยุดเล่น อยากทำคะแนนให้ได้เยอะๆ ได้ level ที่สูงขึ้น อยากอวด อยากเอาชนะคนอื่น ปัจจุบันเกมส์ออนไลน์มีมากมาย บางเกมส์ส่อไปในทางลามกอนาจาร มีการนำเสนอภาพที่รุนแรง บางเกมส์มีการขายของที่อยู่ในเกมส์ หลายคนเคยตกเป็นเหยื่อเพราะโดนหลอกซื้อของที่อยู่ในเกมส์ก็มี นักเรียนต้องรู้จักข่มใจตนเอง เลือกเล่นเฉพาะเกมที่สร้างสรรค์ กำหนดเวลาเล่นให้เป็น ไม่ใช่เล่นเอาเป็นเอาตาย สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอนทำให้เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมถึงเสียการเรียนด้วย

และปัญหาสุดท้าย ภัยจากการท่องเวบ ภัยจากการท่องเว็บอันดับ 1 คือ การโฆษณาหลอกลวงขายสินค้า เช่น สั่งซื้อของจ่ายเงินแล้วแต่ไม่ได้ของก็มี 2. เว็บดาวน์โหลด ถ้าดาวน์โหลดสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะมีไวรัสแถมมาด้วย หรือบางเว็บแค่คลิกเข้าไปก็โดนไวรัสแล้ว 3. เว็บโป๊ อนาจาร 4. เว็บบอร์ด กระดานถามตอบ อาจมีการโพสต์ข้อความชวนเชื่อ โกหกบ้าง จริงบ้าง ใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพเพื่อกลั่นแกล้งกันก็มี 4. ภัยจากอีเมล์ก็มีไวรัส หรือภาพโป๊ ฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ไร้สาระ ถ้ามีเมล์ที่เราไม่รู้จักเข้ามา ก็ควรลบทิ้ง

สาเหตุที่เกิด

  1. การบอกข้อมูลส่วนตัว ให้แก่บุคคลที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต
  2. การนัดพบกับบุคคลที่รู้จักกันทางอินเตอร์เน็ต
  3. การส่งหลักฐานส่วนตัวของตนเองให้ผู้อื่นรู้
  4. การออกไปพบเพื่อนที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต
  5. การซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ตโดยม่ไตร่ตรองให้ดี
  6. การเข้าเว็บที่มีการเสนอรุนแรง

ผลกระทบ

1.อินเทอร์เน็ตเป็นระบบอิสระ ไม่มีเจ้าของ ทำให้การควบคุมกระทำได้ยาก

2.มีข้อมูลที่มีผลเสียเผยแพร่อยู่ปริมาณมาก

3.ไม่มีระบบจัดการข้อมูลที่ดี ทำให้การค้นหากระทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

4.เติบโตเร็วเกินไป

5.ข้อมูลบางอย่างอาจไม่จริง ต้องดูให้ดีเสียก่อน อาจถูกหลอกลวง-กลั่นแกล้งจากเพื่อน

6.ถ้าเล่นอินเทอร์เน็ตมากเกินไปอาจเสียการเรียนได้

7.ข้อมูลบางอย่างก็ไม่เหมาะกับเด็กๆ

8.ขณะที่ใช้อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์จะใช้งานไม่ได้ (นั่นจะเป็นเฉพาะการต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial up

แต่ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะสามารถใช้งานโทรศัพท์ที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วย)

9.เป็นสถานที่ที่ใช้ติดต่อสื่อสาร เพื่อก่อเหตุร้าย เช่น การวางระเบิด หรือล่อลวงผู้อื่นไปกระทำชำเรา

10.ทำให้เสียสุขภาพ เวลาที่ใช้อินเตอร์เนตเป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว

วิธีแก้ไข

1. ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อโรงเรียน ให้แก่บุคคลอื่นที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต

2. แจ้งให้ผู้ปกครองทราบโดยทันทีที่พบข้อมูลหรือรูปภาพใดๆ บนอินเตอร์เน็ตที่หยาบคายไม่เหมาะสม

3. ไม่ไปพบบุคคลใดก็ตามที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ตโดยไม่ขออนุญาตจากผู้ปกครองก่อน

4. ไม่ส่งรูปหรือสิ่งของใดๆ ให้แก่ผู้อื่นที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ตโดยไม่ได้ขออนุญาตจากผู้ปกครองก่อน

ข้อเสนอแนะว่าจะใช้ “ เน็ต ” อย่างไรให้ปลอดภัย

1. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เช่นชื่อนามสกุลจริง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อโรงเรียน

2. ไม่ส่งหลักฐานส่วนตัวของตนเองและคนในครอบครัวให้ผู้อื่น

3. ไม่ควรโอนเงินให้ใครอย่างเด็ดขาด นอกจากจะเป็นญาติสนิทที่เชื่อใจได้ จริงๆ

4. ไม่ออกไปพบเพื่อนที่รู้จักทางอินเตอร์เน็ต เพื่อป้องกันการลักพาตัว หรือการกระทำมิดีมิร้ายต่างๆ

5. ระมัดระวังการซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ต รวมถึงคำโฆษณาชวนเชื่ออื่นๆ

6. ควรบอกพ่อแม่ผู้ปกครองหรือคุณครู ถ้าถูกกลั่นแกล้งทางอินเตอร์เน็ต เช่น ได้รับอีเมล์หยาบคาย

หรือถูกนำรูปถ่ายไปตัดต่อสร้างความเสียหาย

7. ระลึกอยู่เสมอว่า บุคคลที่เรารู้จักทางเว็บอาจจะเป็นบุคคลที่ไม่พึงประสงค์

8. ระวังตัวทุกครั้งที่มีการลงทะเบียนสมัครสมาชิกกับเว็บต่างๆ เพราะเราอาจกำลัง

ตกอยู่ในสายตาของ

ผู้ไม่ประสงค์ดี ที่กำลังจับตามองอยู่

9.ไม่ควรเข้าเว็บที่ต้องห้าม หรือเว็บที่มีการนำเสนอภาพรุนแรง

10. ไม่ควรเข้าเว็บที่ต้องห้าม หรือเว็บที่มีการนำเสนอภาพรุนแรง

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Moore's law


 
Moore's law
 

      กฏของมัวร์ หรือ Moore's law   คือ กฏที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว มีความว่ จํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆสองปี Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ Intel ซึ้งได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี 1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยํา อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก อุตสาหกรรม semiconductor นํากฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผน พัฒนาอุตสาหกรรมได้ moore's law เป็น ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจำนวนของ ทรานซิสเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน แผงวงจรรวม มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น Moore predicted that this trend would continue for the foreseeable future. มัวร์ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้ ในปีถัดไป, การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18 เดือน

กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้นซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม
 
 

 
กฎของมัวร์ (Moore's Law)

ในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ

พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม

การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐาน พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์

                          คําว่า “กฎของมัวร์
 
นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์ Caltech นามว่Carver Mead
 

ซึ่งกล่าวว่าจํานวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้เป็นสองเท่าในทุกๆหนึ่งปี ในช่วงปี 1965 ต่อมามัวร์จึงได้

เปลี่ยนรูปกฎ เพิ่ขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปในป1975



วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บิตตรวจสอบ ( Parity Bit )

        
บิตตรวจสอบ
 

บิตตรวจสอบ หรือ พาริตี้บิต จึงเป็นบิตที่ เพิ่มเติมเข้ามาต่อท้ายอีก    1 บิต ซึ่งเป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับการตรวจสอบความแม่นยำและความถูกต้องและความถูกต้องของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บลงในคอมพิวเตอร์

สำหรับบิตตรวจสอบ จะมีวิธีการตรวจสอบอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ

1.การตรวจสอบบิตภาวะคู่ ( Even Parity )
 
2.การตรวจสอบภาวะคี่ ( Odd Parity )

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รหัสแทนข้อมูล

1. ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ รหัสแทนข้อมูล ต่อไปนี้ 

รหัสแอสกี (ASCII)  และ รหัสยูนิโค้ด (Unicode)
 
 

รหัสแอสกี

 
     รหัสแอสกี (ASCII)  เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ เป็นคำย่อมาจาก American Standard Code Information Interchange เป็นรหัส 8 บิต แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ 256 ตัว เมื่อใช้แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีเหลืออยู่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ได้กำหนดรหัสภาษาไทยเพิ่มลงไปเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้ตามตาราง

 
 
ตารางแสดงรหัสเอสกีที่แทนภาษาอังกฤษและภาษาไทย



 
รหัสยูนิโค้ด (Unicode)



      รหัสยูนิโค้ด (Unicode) เป็นรหัสที่สร้างขึ้นมาในระยะหลังที่มีการสร้างแบบตัวอักษรของภาษาต่าง ๆ รหัสยูนิโค้ด เป็นรหัสที่ต่างจาก 2 ชนิด ที่ได้กล่าวมา คือใช้เลขฐานสอง 16 บิต ในการแทนตัวอักษร เนื่องจากที่มาของการคิดค้นรหัสชนิดนี้ คือ เมื่อมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ในหลายประเทศและมีการสร้างแบบตัวอักษร (font) ของภาษาต่าง ๆ ทั่วโลกในบางภาษา เช่น ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาที่เรียกว่าภาษารูปภาพ ซึ่งมีตัวอักษรเป็นหมื่นตัว หากใช้รหัสที่เป็นเลขฐานสอง 8 บิต เราสามารถแทนรูปแบบตัวอักษรได้เพียง 256 รูปแบบซึ่งไม่สามารถแทนตัวอักษรได้ครบ จึงสร้างรหัสใหม่ขึ้นมาที่สามารถ แทนตัวอักขระได้ถึง 65,536 ตัว ซึ่งมากพอและสามารถแทนสัญลักษณ์กราฟิกและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้อีกด้วย



2. ให้บอก ชื่อ-สกุล ของนักศึกษาในภาษาอังกฤษ ตัวพิมพ์ใหญ่ 
แทน รหัสแอสกี (ASCII)  ใดบ้าง และใช้พื้นที่จัดเก็บกี่ไบต์

 
ONANONG CHIMPARN
  

O=0100 1111
N=0100 1110
A=0100 0001
N=0100 1110
O=0100 1111
N=0100 1110
G=0100 0111
space=0100 0000
C=0100 0011
H=0100 1000
I=0100 1001
M=0100 1101
P=0101 1101
A=0100 0001
R=0101 0010
N=0100 1110

ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บ 16 ไบต์


**การนำเสนอของ นางสาวอรอนงค์  ฉิมปาน**

นักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ห้อง คพธ.561 เลขที่ 48


^จบแล้วค่ะ^

 



วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556



2. ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งออกได้
 
 
 
เป็นยุคๆ ตามช่วงเวลา และมีเหตุการณ์สำคัญ รวมถึงจุดเปลี่ยน
 
 
 
 
แปลงเด่นๆ ให้นักศึกษาค้นคว้า วบรวมข้อมูล
 
และสรุปสาระสำคัญ
 
 
 
ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณซึ่ง
 
มีวิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่
 
สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว
 
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสต์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้





ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชั่นต่างๆ

ทางคณิตศาสตร์ การทำงานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคำนวณ และ

ส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คำนวณได้



โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ

 



คอมพิวเตอร์มีวิวัฒนาการแบ่งออกเป็น 5 ยุค ดังนี้

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1   อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2507 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ (Transister) เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และใช้วงแหวนแม่เหล็กเป็นหน่วยความจำ เป็นคอมพิเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่ายุคแรก ราคาถูกลง ต้นทุนต่ำกว่าใช้กระแสไฟฟ้าน้อย มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2513 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) หรือเรียกว่าวงจรไอซี ซึ่งเป็นสารกึ่งตัวนำที่บรรจุวงจีทางตรรกะไว้ แล้วพิมพ์บนแผ่นซิลอคอน(Silicon) เรียกว่า ชิป ซึ่งสามารถทำงานได้เท่ากับทรานซิสเตอร์หลายร้อยตัว เครื่องคอมพิวเตอร์จึงมีขนาดเล็กลง ความเร็วเพิ่มขึ้นและใช้กำลังไฟน้อย

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2514 ถึง พ.ศ. 2523 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจร LSI (Large Scale Integration) เป็นการรวมวงจรไอซีจำนวนมากลงในแผ่นซิลิคอนชิป 1 แผ่น สามารถบรรจุได้มากกว่า 1 ล้านวงจร ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เป็นแบบตั้งโต๊ะ หรือพกพาได้ ทำงานเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2524-ปัจจุบัน เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจร VLSI (Very Large Scale Integration) เป็นการพัฒนาไมโครโพรเซสเซอร์ให้มีประสิทธภาพมากขึ้น คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้เพื่อช่วยในการจัดการ การตัดสินใจ และการแก้ปัญหา โดยจะมีการเก็บข้อมูลไว้ เมื่อต้องการใช้งานก็สามารถเรียกข้อมูลที่เก็บไว้มาใช้ในการทำงานได้ ขนาดเครื่องมีแนวโน้มเล็กลง และมีความเร็วสูงขึ้น เช่น โน๊ตบุ๊ค